กระคืออะไร? อะไรคือสาเหตุหลักทำให้เกิดกระ?

กระคืออะไร? อะไรคือสาเหตุหลักทำให้เกิดกระ?

กระ คือ จุดสีน้ำตาลกลมๆ ไม่มีรอยนูนที่เกิดขึ้นบนผิวหนังของคนเรา โดยมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก กระจะเกิดขึ้นบริเวณต่างๆ ของร่างกาย โดยสาเหตุหลักๆ เกิดจากการสัมผัสกับแสงอาทิตย์เป็นระยะเวลานานๆ กระจะมีโอกาสเกิดสูงในบริเวณที่ผิวหนังบาง เช่น ส่วนบนของร่างกาย คาง จมูก แขน และไหล่ช่วงบน กระสามารถเกิดได้ตั้งแต่เด็กอายุระหว่าง 1 ถึง 2 ปี

กระ ที่เกิดขึ้นกับคนส่วนใหญ่จะเป็นเม็ดสี แต่ละคนจะมีกระที่มีสีแตกต่างกันไป โดยกระอาจะมีสีออกแดงๆ เหลือง น้ำตาล น้ำตาลอ่อน สีน้ำผึ้ง หรือ สีดำ โดยปกติแล้วบริเวณผิวหนังที่เป็นกระจะมีสีผิวที่เข้มกว่าบริเวณรอบๆ กระจะมีสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ หากสัมผัสกับแสงอาทิตย์บ่อยๆ และกระจะมีสีจางลงในช่วงหน้าหนาวที่มีอากาศเย็น

กระ เกิดขึ้นเนื่องจากร่างการมีปริมาณเซลล์เม็ดสีเข้ม( dark pigment) ที่เรียกว่า "เมลานิน" ในระดับที่สูง แต่จะไม่เกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของเซลล์ที่ทำหน้าที่ในการสร้าง dark pigment ที่เรียกว่า เมลาโนไซต์ (melanocyte)


กระ มีกี่ประเภท?

หลักๆ แล้ว กระ จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกัน คือ กระธรรมดา และกระที่เกิดจากแดดเผา กระแบบธรรมดาจะมีลักษณะกลมๆ และเล็กๆ ขนาดเท่ากับประมาณปลายนิ้วมือ ส่วนกระที่เกิดจากแดดเผานั้น ส่วนใหญ่แล้วจะมีสีเข้มกว่าและจะพบร่องรอยของการอักเสบบริเวณขอบของรอยกระ และจะมีขนาดใหญ่กว่ากระแบบธรรมดา กระแบบที่เกิดจากการเผาไหม้ของแดดส่วนใหญ่แล้วจะเกิดบริเวณแผ่นหลังด้านบนและบริเวณหัวไหล่ ซึ่งถือว่าเป็นจุดที่เกิดการเผาไหม้ของแดดที่รุนแรงที่สุด

ส่วนวิธีรักษากระ สามารถติดตามได้ในบทความต่อไป

การรักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ

ปัจจุบันนี้มีผลิตภัณฑ์ครีมรักษาฝ้าจำนวนมากออกมาจำหน่าย แต่เราควรจะใช้วิธีรักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติที่สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง วิธีรักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติเหล่านี้จะไม่เพียงแต่กำจัดปัญหาฝ้าเท่านั้น แต่ยังช่วยในกระบวนการของการต่ออายุผิวโดยนำระดับอีลาสตินที่ปกติก็จะช่วยให้ผิวที่ดีจะช่วยในการซ่อมแซมผิว ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตาย พื้นผิวที่อุดตันรูขุมขน และทำให้มีสุขภาพผิวที่ดีขึ้น เรามาลองดูกันครับวิธีรักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติที่เราสามารถทำได้เองง่ายๆ ดังนี้

น้ำส้มสายชู: น้ำส้มสายชูซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรด สามารถนำมาล้างทำความสะอาดหน้าได้ และสามารถกระตุ้นเซลล์ผิวใหม่ๆ ได้ นำน้ำส้มสายชูผสมกับน้ำในปริมาณที่เท่ากันมาผสมให้เข้ากัน จากนั้นใช้ล้าง ทำความสะอาดหน้า วิธีนี้จะทำให้หน้าดูนุ่นนวลขึ้น สามารถใช้น้ำส้มสายชูที่ผลิตจากแอปเปิ้ลหรือน้ำส้มสายชูที่ผลิตจากธรรมชาติแทนได้

น้ำหอมหัวใหญ่: สามารถเตรียมได้โดยการนำหอมหัวใหญ่มาปั่นละเอียดเพื่อให้ได้น้ำหอมหัวใหญ่ออกมา จากนั้นผสมกับน้ำส้มสายชูที่ผลิตจากแอปเปิ้ล ทาบริเวณที่เป็นฝ้าวันละประมาณ 2 คร้้ง หรืออีกวิธีนึง นำหอมหัวใหญ่มาหั่นเป็นแว่น จากนั้นจุ่มลงในน้ำส้มสายชูแล้วนำไปวางลงบนบริเวณที่เป็นฝ้า

น้ำมะนาว: น้ำมะนาวสามารถช่วยรักษาฝ้าได้อย่างรวดเร็ว สภาพที่เป็นกรดโดยธรรมชาติของน้ำมะนาวจะมีผลให้เกิดการลอกของเซลล์ผิวที่อยู่บ้านบน ดังนั้นจึงสามารถช่วยรักษาฝ้าให้จางลงได้

ความเครียดมีผลทำให้เกิดฝ้าด้วย ดังนั้นเราควรควบคุม ดูแลไม่ให้เกิดความเครียด วิธีที่ได้ผลมากที่สุดคือ การออกกำลังกาย การดื่มน้ำสะอาดมากๆ เป็นการช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น ขับของเสียออกจากร่างกายได้ง่ายผ่านทางเหงื่อ การรับประทานที่มีสารอาหารที่จำเป็นอย่างพอเหมาะโดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ โดยพบว่า การรับประทานผลไม้สดต่างๆ อย่างพอเหมาะจะทำให้ได้รับวิตามินและแร่ธาตุอย่างเพียงพอ

ทั้งหมดนี้เป็นวิธีรักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติอย่างเห็นผล แม้ว่าวิธีการรักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาตินี้จะไม่ทำให้ฝ้าจางลงได้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าเปรียบเทียบเรื่องความปลอดภัย ก็ถือว่าคุ้มค่า

อะไรคือสาเหตุของการเกิดฝ้า?

ฝ้า ส่วนใหญ่แล้วจะมีลักษณะเป็นรอยสีน้ำตาลหรือรอยสีเทาปนน้ำเงินที่เกิดขึ้นบริเวณใบหน้า ส่วนใหญ่แล้วฝ้าจะเกิดกับผู้หญิงในช่วงระยะตั้งครรภ์ ฝ้าส่วนใหญ่จะเกิดบริเวณโหนกแก้ม เหนือริมฝีปาก หน้าผาก คาง ส่วนใหญ่แล้วฝ้าจะเกิดกับผู้หญิงที่มีอายุประมาณ 20-50 ปี แม้ว่าฝ้าจะไม่ค่อยพบว่าจะเกิดกับผู้ชาย แต่ผู้ชายก็มีโอกาสเกิดฝ้าได้เช่นกัน สาเหตุของการเกิดฝ้านั้น หลักๆ น่าจะเกิดจากการสัมผัสกับแสงแดดมากเกินไป ฮอร์โมนที่อยู่ในยาคุมกำเนิด การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนของหญิงในขณะตั้งครรภ์ คนส่วนใหญ่ที่เกิดฝ้าพบว่าคนเหล่านั้นต้องตากแดดเกือบทุกวัน ผู้หญิงตั้งครรภ์มีโอกาสเกิดฝ้าได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงเอเชีย และผู้หญิงลาติน ผู้หญิงที่มีผิวสีมะกอกหรือผู้หญิงที่มีสีผิวเข้ม เช่น ผู้หญิงสเปน โปรตุเกส ผู้หญิงเอเชีย และผู้หญิงตะวันออกกลางจะมีโอกาสเกิดฝ้ามากกว่าผู้หญิงกลุ่มอื่นๆ

จากการสำรวจ พบว่ามีผู้หญิงชาวอเมริกันประมาณ 6 ล้านคน ที่ประสบกับปัญหาการเกิดฝ้า  และพบว่าผู้หญิงทั่วโลกประมาณ 45-50 ล้านคน ที่มีปัญหาเรื่องการเกิดฝ้าเช่นกัน มากกว่า 90% ของคนทีเกิดฝ้าเป็นผู้หญิง การป้องกันการเกิดฝ้าหลักๆ แล้วควรป้องกันใบหน้าไม่ให้โดนแดดนานๆ และหลีกเลี่ยงการออกแดดเป็นระยะเวลานานๆ หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรทาครีมกันแดดเพื่อป้องกันการเกิดฝ้า


สาเหตุที่แท้จริงของการเกิดฝ้านั้นยังไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัด ผู้เชี่ยวชาญชื่อว่ารอยสีน้ำตาลที่เกิดขึ้นอาจเกิดจากหลายๆ ปัจจัย รวมไปถึงการตั้งครรภ์ ยาคุมกำเนิด ฮอร์โมน พันธุกรรม เชื้อชาติ ยาบางประเภทท การสัมผัสกับแดดเป็นระยะเวลานานๆ อาจจะเป็นสาเหตุหลักในการทำให้เกิดฝ้า จากการศึกษาพบว่าส่วนใหญ่แล้วฝ้าจะเกิดในช่วงฤดูร้อน ในช่วงหน้าหนาวรอยฝ้าจะจางลง ฝ้าที่เกิดในช่วงของการตั้งครรภ์จะเรียกว่า Chloasma หรือ "The mask of pregnancy"

โดยปกติแล้วหญฺิงตั้งครรภ์จะมีระดับของฮอร์โมนเอสโตเจน โปรเจสเตอโรน และ เมลาโนไซต์ เพิ่มสูงขึ้น แต่จากการศึกษาพบว่าการเกิดฝ้านั้นอาจจะมีผลการจากการเพิ่มขึ้นของโปรเจสเตอโรนเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับเอสโตเจน และเมลาโนไซต์ นอกจากนี้การใช้ผลิตภัณฑ์รักษาฝ้าที่อาจก่อให้เกิดการแพ้หรือระคายเคืองผิว อาจเป็นสาเหตุให้ฝ้ารุกลามมากยิ่งขึ้น

กลุ่มคนที่พ่อ แม่ มีประวัติการเกิดฝ้ามีความเสี่ยงที่จะเกิดฝ้ามากกว่าคนที่พ่อ แม่ ไม่มีประวัติ วิธีป้องกันการเกิดฝ้าที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงไม่โดนแดดเป็นระยะเวลานานๆ หรือหากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรใช้ครีมกันแดดเพื่อป้องกันการสัมผัสกับแสงอาทิตย์โดยตรง หลีกเลี่ยงการใช้ยาคุมกำเนิด หรือฉีดยาเพิ่มฮอร์โมน อาจจะช่วยป้องกันการเกิดฝ้าได้